(26 กุมภาพันธ์ 2562 :กรุงเทพฯ) เมื่อคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญขององค์กรต่างๆ จึงทำให้รูปแบบของการทำงานในปัจจุบันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เห็นได้จากการที่ธุรกิจให้เช่าพื้นที่ทำงานร่วม หรือ Co-working Office เริ่มเป็นที่นิยม และขยายตัวอย่างรวดเร็วในหลายประเทศทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยนั้น ธุรกิจให้เช่า Co-working Office เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง ซึ่งเมื่อผนวกกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของบริษัทสตาร์ทอัพ ในปัจจุบันที่มีมากกว่า 10,000 ราย คิดเป็นมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ยิ่งส่งผลให้ธุรกิจให้เช่า Co-working Office ยิ่งเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น
นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ เผยว่า “ปัจจุบันธุรกิจให้เช่า Co-working Office กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก พบว่าในปี 2018 ตลาด Co-working Office มีการเปิดให้บริการเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา (2017) ถึง 51% บนพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 2.6% ของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานแบบดั้งเดิม คาดว่าในปี 2019 จะมีผู้ประกอบการหลายรายที่ พร้อมขยายพื้นที่ให้บริการอีกกว่า 30,000 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 40% โดยปัจจุบัน มีบริษัทที่เซ็นสัญญาการเช่าพื้นที่แห่งใหม่แล้วอย่างน้อย 3 ราย บนขนาดพื้นที่ประมาณ 4,000 – 8,000 ตารางเมตร
ที่มา เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่
ด้านราคาค่าเช่า จากการสำรวจของเน็กซัสพบว่า อัตราค่าบริการรายเดือนของ Co-working Office อยู่ที่ประมาณ 10,000 บาทต่อคนต่อเดือน โดยปัจจุบันมี Co-working Office มากถึง 70 แห่งทั่วกรุงเทพ จากผู้ประกอบการประมาณ 30 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการชาวต่างชาติ โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ คือ รีจัส (Regus) นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ต่างชาติที่พร้อมจะขยายพื้นที่ให้บริการ Co-working Office เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก เช่น วีเวิร์ค จัสโค และสเปสเซส เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มนี้มักจะมองหาพื้นที่เช่าในอาคารสำนักงานเกรดเอ บนทำเลศักยภาพ เดินทางเข้าถึงสะดวก ตามแนวรถไฟฟ้าบนดิน และรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยขนาดพื้นที่ที่ต้องการ คือ ประมาณ 2,000-4,000 ตร.ม. หรืออาจมากถึง 8,000 ตร.ม. ในบางอาคาร
ที่มา เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่
ที่มา เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่
ที่มา เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่
“อาคารสำนักงานให้เช่าตามแนวรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดินได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการธุรกิจให้เช่าพื้นที่ทำงานร่วมเป็นอย่างมาก โดยมีการขอเช่าพื้นที่ในอาคารเดียวกว่า 7,000-8,000 ตร.ม.”
นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ กล่าว
จากการวิจัยของเน็กซัส พบว่าเหตุที่ Co-working Office เป็นที่นิยมมากขึ้นเนื่องจาก เป็นรูปแบบบริการที่ทันสมัย เข้าใจไลฟ์สไตล์ของพนักงานในยุคมิลเลนเนียมที่ต้องการความคล่องตัว มีบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลาย ทั้งยังสามารถทำสัญญาเช่าระยะสั้นได้ ซึ่งเหมาะกับบริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องการปรับเปลี่ยนขนาดของพื้นที่ หรือจำนวนพนักงานอย่างรวดเร็ว ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้เช่าที่เคยเกิดขึ้นจากการเช่าสำนักงานแบบเดิม เช่น ค่าตกแต่งสำนักงาน ค่าเฟอร์นิเจอร์ ค่าบริหารจัดการ ค่าส่วนกลาง ค่าทำความสะอาด เป็นต้น ซึ่งข้อดีที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ Co-working Office มักจะมีอยู่หลายสาขาไว้ให้บริการ ดังนั้น สมาชิกจึงมีความสะดวกสบายต่อการเลือกใช้บริการในสาขาที่ตนเองต้องการ เป็นเหตุให้ Co-working Office จึงกลายเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจของผู้เช่า
“ในอนาคตอันใกล้ คาดว่ามีผู้ประกอบการอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการพัฒนาโครงการในรูปแบบของ Co-working Office โดยอาจเป็นในรูปแบบของการร่วมมือกันระหว่างเจ้าของอาคารกับผู้ประกอบการ Co-working Office หรือ เจ้าของอาคารที่หันมาเป็นผู้ประกอบการเอง และด้วยการทำ Co-working Office นั้น ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งข้อดี คือ Co-working Office จะช่วยเข้ามาช่วยลดอัตราว่างของพื้นที่ในอาคารให้น้อยลง นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างจุดแข็งและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้เช่า รวมไปถึงเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการอีกด้วย โดยในอนาคตมีแนวโน้มว่าอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอในกรุงเทพฯ จะมีพื้นที่สำหรับรองรับ Co-working Office ประมาณ 10% ในทุกๆอาคาร” นาย ธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กล่าวสรุป